เราจะรับมือกับ COVID – 19 หากเข้าสู่ระยะที่ 3 อย่างไรดี
สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยเราตอนนี้ เริ่มใกล้ตัวเรามากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เราฟังข่าวจากต่างประเทศ เริ่มจากจีน แล้วลามไปยังประเทศต่างๆ แต่ละประเทศ ระยะเวลาฟักตัวที่ไม่แสดงอาการแต่แพร่เชื้อได้ อยู่ที่ 10-14 วัน รวมทั้งวันนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเริ่มสูงขึ้น แน่นอนว่าหน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ทำงานหาข้อมูลและวางแผนกันอย่างหนัก เนื่องจากต้องดูแลและประกาศระดับนโยบาย เพื่อให้เกิดผลเสียที่กระทบต่อประเทศน้อยที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลป้องกันโรคของคนไทย
ระดับนโยบายที่รัฐได้ให้คำแนะนำ ตามเอกสาร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ คือ
- เพิ่มขั้นตอนการเข้าประเทศ ต้องมีเอกสารการทำวีซ่าและเอกสารราชการอื่นๆ มีการกักกันหากเดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ
- เพิ่มช่องทางการให้ข้อมูล และความรู้กับประชาชน เพื่อให้การระบาดเป็นไปอย่างช้าที่สุด
- ส่งเสริมมาตรการการป้องกันในทุกสถานที่ เช่น สถานที่ราชการ สถานศึกษา หรือ คอนโดที่พักอาศัย ให้มีเจลล้างมือ และเครื่องคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย
นอกจากรัฐบาลจะช่วยส่งเสริมแล้ว หมอว่าเราเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ สิ่งที่เราจะทำได้ คือ
- ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และมีสติให้มากที่สุด ติดตามข่าวเพื่อให้ทราบสถานการณ์และเตรียมรับมือ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสถานที่กลุ่มเสี่ยง
- รักษาสุขภาพของตัวเราเองให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมความเครียดให้ได้ รู้จักการบริหารความเครียดและปล่อยวาง
- นอกจาก “กินร้อน ช้อนกลางใครช้อนกลางมัน ล้างมือ” แล้ว การเลือกรับประทานอาหาร และการดูแลป้องกันสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นมาก เป็นการรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมเบื้องต้นค่ะ
สำหรับทางด้านเวชศาตร์ป้องกันและชะลอวัย หมอมีคำแนะนำในการป้องกันและดูแลตัวเอง ในสถานการณ์ของการระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ โดยเราต้องทำยังไงก็ได้ให้ภูมิต้านทานของเราแข็งแรง ลดปัจจัยที่ทำร้ายภูมิต้านทานของเราในทุกๆด้าน และส่งเสริมกระบวนการสร้างภูมิต้านทานของเราให้แข็งแรง
เริ่มจาก Lifestyle
- ควบคุมความเครียด (Stress Reduction) : ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อระบบภูมิต้านทานของเรา ดังนั้นเราต้องหาสาเหตุของความเครียดให้เจอแล้ววางแผน หาวิธีการคลายเครียดตามแบบฉบับของตัวเราเอง
- เรื่องการนอนหลับ (Sleep) : การนอนหลับ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระบบภูมิต้านทาน สิ่งแวดล้อมที่จะช่วยส่งเสริมการนอนให้มีคุณภาพคือ ปิดไฟให้สนิท, อุณหภูมิห้องที่ไม่ร้อนเกินไป ความเงียบสงบ งดเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน และเข้านอนให้เป็นเวลา
- การออกกำลังกาย (Exercise) : การออกกำลังกายที่เหมาะสม และไม่หนักจนเกินไป (Moderate) รวมทั้ง การใช้ชีวิตประจำวันที่แอคทีฟ เช่น ใช้บันได แทนลิฟต์ การเดิน เปลี่ยนอริยาบท ไม่นั่งกับที่ เป็นต้น ก็จะช่วยให้เพิ่มระบบไหลเวียนของร่างกาย ลดฮอร์โมนความเครียดลง และ เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาวและแอนตี้บอดี้ในการต่อสู้กับเชื้อโรค
- การเลือกทานอาหาร (Nutrition/Diet) : หลายงานวิจัยพบว่า การรับประทานผักหลากสีและผลไม้ ประมาณ 10 ถ้วยต่อวัน ซึ่งรวมถึงพวกผักที่ผ่านการหมักและโพรไบโอติกด้วย จะช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้
อาหารเสริม วิตามิน และสารอาหารที่จะช่วยการทำงานของระบบภูมิต้านทาน
อาหาร สมุนไพร และอาหารเสริมมากมาย ที่ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิต้านทาน รวมทั้งช่วยให้ระยะเวลาให้การเจ็บป่วยสั้นลงอีกด้วย สำหรับการป้องกันและรักษาเชื้อไวรัสที่ติดต่อระบบทางเดินหายใจ หมอขอแนะนำสารอาหารเหล่านี้ค่ะ
- วิตามินเอ (Vitamin A) : จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดี รวมทั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพราะหากได้รับมากเกินไป อาจเกิดภาวะเป็นพิษจากวิตามินเอได้
- วิตามินเอ (Vitamin A) : จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดี รวมทั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพราะหากได้รับมากเกินไป อาจเกิดภาวะเป็นพิษจากวิตามินเอได้
- วิตามินซี (Vitamin C) : ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ทั้งไวรัสและแบคทีเรีย การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำจะทำให้ระยะเวลาเป็นไข้หวัดลดลง และ การได้รับวิตามินซีขนาดสูงในช่วงที่มีไข้จะช่วยลดการอักเสบ รวมทั้งวิตามินซีมีฤทธิ์ต้านสารฮีสตามีนได้เช่นกัน แหล่งวิตามินซีตามธรรมชาติปริมาณสูง เช่น มะขามป้อม 1 ลูกมีวิตามินซีสูงกว่า แอปเปิ้ลถึง 160 เท่า
- วิตามินอี (Vitamin E) : มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับวิตามินซี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ เสริมภูมิต้านทานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และยังช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือดอีกด้วย
- ซิลิเนียม (Selenium) : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยกระตุ้นร่างกายให้ป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และมะเร็ง ส่วนมากเราได้รับซิลิเนียมจากอาหาร โดยเฉพาะถั่วบราซิล (Brazil nuts)
- สังกะสี (Zinc) : เป็นตัวหลักที่สำคัญสำหรับระบบภูมิต้านทาน ช่วยลดความถี่ของการติดเชื้อ ระยะเวลาและความรุนแรงของไข้หวัดได้ หลังจากรับประทานภายใน 24 ชม.
- น้ำผึ้ง (Honey) : หมอแนะนำเป็นน้ำผึ้งป่านะคะ เพราะจะมีวิตามินและเกลือแร่ ที่มีฤทธิ์ต้านการติดเชื้อ (Antimicrobial) ลดอาการไอและเจ็บคอ สามารถผสมกับน้ำอุ่นหรือชาร้อนดื่มได้เลยค่ะ
- กระเทียม (Garlic) : เป็นสมุนไพรและเป็นเครื่องปรุงในครัวไทยของเรามานาน กระเทียมมีสารอาหารหลายชนิดที่ช่วยเรื่องภูมิต้านทาน ทั้งกระเทียมสดและสารสกัด ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนต้น รวมทั้งลดความรุนแรงของโรคได้อีกด้วย
- โพรไบโอติก (Pro-biotic) : แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ อย่างที่เราทราบกันดีว่า ระบบภูมิต้านทานเรา ส่วนใหญ่อยู่ที่ความสมดุลของลำไส้ และแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้จะช่วยกระตุ้นและควบคุมระบบภูมิต้านทานได้ดี มีงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า โพรไบโอติกช่วยลดจำนวนการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กค่ะ
วิถีธรรมชาติบำบัด
เราทราบกันอยู่แล้วว่า เชื้อไวรัสนั้น ภูมิต้านทานของร่างกายเราจะสามารถต่อสู้และกำจัดได้เอง แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้มีงานวิจัยยืนยันในการรักษาการติดเชื้อ COVID-19 ที่จำเพาะเจาะจง แต่ในทางธรรมชาติแล้วเราสามารถประยุกต์ใช้ได้ และรักษาตามอาการ รวมทั้งการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิต้านทานก็เป็นอีกทางที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 นี้ เรามาดูกันค่ะว่ามีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรกันได้บ้าง
- การดูแลตัวเองในเชิงป้องกัน (Self care)
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ชาสมุนไพรต่างๆก็เป็นตัวเลือกที่ดี เช่น ชาเปปเปอร์มิ้น, น้ำขิง , ชาคาโมไมล์ เป็นต้น
- การดื่มน้ำอุ่นใส่น้ำผึ้งป่าและมะนาว หรืออาจจะใส่ผงซินนามอนเข้าไป ก็ช่วยให้กลิ่นและรสชาดดีขึ้น
- การดูแลสุขภาพลำไส้ โดยเฉพาะสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ โดยการทานอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ, แบคทีเรียตัวดี (Probiotic) ซึ่งได้จากอาหารหมัก (Fermented Food) เช่น กิมจิ ถั่่วนัตโตะ คอมบูชา เป็นต้น เพราะ 80 % ของภูมิต้านทานเราอยู่ที่ลำไส้ การดูแลสมดุลลำไส้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- หากมีอาการเจ็บคอ (Sore throat) : หมอแนะนำให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือกลั้วที่คอ จะช่วยลดความเหนียวของเสมหะได้ แล้วก็ช่วยกำจัดแบคทีเรียในลำคอ ชาร้อน คาโมไมล์และเปปเปอร์มิ้น ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย ช่วยในเรื่องการลดอาการเจ็บคอได้เช่นกัน
- หากมีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก (Respiratory congestion&sinuses) : ควรเพิ่มความชื้นในโพรงจมูกให้มากขึ้น ซึ่งทำได้โดยเตรียมน้ำร้อน แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยแบบออแกนิคกลิ่นยูคาลิปตัส เมนทอล หรือเปปเปอร์มิ้น แล้วสูดกลิ่นที่ระเหยขึ้นมาจากน้ำร้อนได้ จะช่วยให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น นอกจากนี้ การล้างจมูก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใช้น้ำเกลือล้างจมูก หรือวิธี Neti pot ก็จะช่วยกำจัดเมือกและน้ำมูกที่อุดตันจมูกได้
จากที่หมอแนะนำหลักในการดูแลตัวเองเบื้องต้นนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยป้องกัน และส่งเสริมระบบภูมิต้านทานของพวกเราได้เท่านั้นนะคะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะเราจะได้มีเวลาหันมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต สำหรับข้อมูลในเรื่องการติดเชื้อ Covid19 สามารถติดตามได้ที่ เว็บไซต์กรมควบคุมโรค ซึ่งจะมีการอัพเดทสถานการณ์รวมทั้งความรู้ในการดูแลตัวเองเบื้องต้นค่ะ