หลังโควิด-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ เทรนด์ดูแลสุขภาพ 2566 การตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เสริมโพรไบโอติกส์ให้ตรงจุด เสริมภูมิคุ้มกัน การรักษาทางเลือก การปรับสมดุลร่างกาย ที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้น
Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์ว่า ปี 2568 “เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพทั่วโลก” (Global Wellness Economy) จะมีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 230 ล้านล้านบาท
เมื่อย้อนไปดูในปี 2562 พบว่า “เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของทั่วโลก” มีมูลค่ากว่า 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2563 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงขึ้นถึง 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 145 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น
- มูลค่าจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 14 ล้านล้านบาท
- ธุรกิจสปา 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.2 ล้านล้านบาท
นอกจากนั้น GWI ยังคาดการณ์ด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2563-2568 ธุรกิจสปาจะมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่อัตรา 17.2% ส่วนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเติบโตเฉลี่ยที่อัตรา 20.9%
หันกลับมาดูที่ประเทศไทยซึ่งที่ผ่านมา มีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ก็กลายเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ภาครัฐสนับสนุน สอดคล้องกับการเดินหน้าสู่ Medical Hub ของไทย ข้อมูลจาก ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า ในปี 2562
- ไทยมีนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ที่ 12.5 ล้านคนต่อปี
- สร้างรายได้ 409,200 ล้านบาท
- เกิดการจ้างงาน 530,000 คน
นโยบายทางการท่องเที่ยวปี 2565 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงให้ความสำคัญกับการทำ Marketing ที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง Medical Tourism และ Health & Wellness Tourism ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นและเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 80,000 – 120,000 บาท
สุขภาพเชิงป้องกันมาแรง
“นพ.พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์” ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic) ในโรงพยาบาลพระรามเก้า ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันคนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกัน โดยมีโควิด-19 เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้คนหันมาใส่ใจเรื่องภูมิต้านทานมากขึ้น และเริ่มเห็นประโยชน์ของการป้องกัน ไม่ว่าจะโภชนาการ ออกกำลังกาย ฟื้นฟูความเสื่อม
ภาพรวมธุรกิจ Wellness ในปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่ายังคงคึกคักต่อเนื่อง มีการเติบโตสูงและมีบริการใหม่ๆ ออกมาเป็นตัวเร่งขับเคลื่อนธุรกิจนี้ให้โตเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าของ W9 ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเนื่องจากเปิดให้บริการช่วงโควิด-19 และมีต่างชาติราว 10% อาทิ ชาวจีนที่พักอาศัยในเมืองไทย เมียนมา อินเดีย รวมถึงชาว ยุโรป อเมริกา เล็กน้อย โดยในปี 2565 จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 22-25% จากปี 2564 ขณะที่ รายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 40%
บริการที่ได้รับความนิยม คือ การดริปวิตามินเพื่อชะลอความเสื่อม ซ่อมแซมเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพสมอง ถัดมา คือ การดูแลระบบภูมิต้านทาน ปรับปรุงฟื้นฟูความสมดุลภูมิต้านทาน เสริมสมุนไพร เสริมวิตามิน ทั้งกินทั้งฉีดที่ถูกขับเคลื่อนมาจากโควิด-19 ซึ่งทำให้คนหันมาสนใจเรื่องภูมิต้านทานมากขึ้น
“และสุดท้ายที่โดดเด่น คือ การตรวจสมดุลลำไส้ ตรวจอุจจาระ ดูโพรไบโอติกส์ ปรับสมดุลจุลินทรีย์ตามผลตรวจ ซึ่งปัจจุบันเห็นผลและจับต้องได้มากขึ้น โดยรวมคนเข้ามาดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ดูแลโภชนาการ ตรวจสารอาหาร ปรับอาหาร ออกกำลังกาย วางแผนลดน้ำหนัก”
“ผู้บริโภคเริ่มมีการหาข้อมูล สะท้อนเป็นคำถามที่มาถึงเราซึ่งเริ่มลึกขึ้น กลายเป็นความท้าทายของผู้ให้บริการ และเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ที่คัดกรองคุณภาพของผู้ประกอบการด้วย”
3 อันดับ บริการยอดนิยมในปี 2566
สำหรับ 3 อันดับ บริการที่คาดว่าจะได้รับความนิยมในปีนี้ นพ.พิจักษณ์ มองว่า เป็นไปตามเทรนด์ของโลก ได้แก่
อันดับ 1 โพรไบโอติกส์ ซึ่งเรียกได้ว่า ได้รับความนิยมตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และปีนี้คาดว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการตรวจอุจจาระ ดูปริมาณและความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ วิเคราะห์ วางแผน จัดโพรไบโอติกส์เสริมเฉพาะบุคคล ที่แม่นยำมากกว่าที่เราไปซื้อกินเองแล้วไม่ได้ผล อาจจะเพราะคุณภาพ ปริมาณไม่ถึง กินไม่ถูกสายพันธุ์ กินไม่ถูกกับที่ร่างกายต้องการ การให้บริการส่วนนี้ ถือว่าตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ซึ่งจะเป็นกลุ่มใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการป้องกัน ลงลึกถึงต้นตอของปัญหาสุขภาพแบบองค์รวม
“หากคนที่ศึกษาและรู้คุณค่าของโพรไบโอติกส์จะรู้ว่าคุ้มค่ามาก ยิงนกครั้งเดียวได้หลายตัว ลงทุนเรื่องนี้ครั้งเดียวแต่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งระบบไม่ว่าจะเป็น ภูมิต้านทาน ระบบประสาท การเผาผลาญ โรคอ้วน เบาหวาน จะมีพื้นฐานมาจากการปรับสมดุลลำไส้ จุลินทรีย์ในลำไส้”
อันดับ 2 การรักษาทางเลือก เป็นบริการที่คาดว่าน่าจะเติบโตมากขึ้น โดดเด่นในปีนี้ เป็นการรักษาทางเลือกเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง เนื่องจากปัจจุบัน เราหาข้อมูลกันเร็วมาก ในงานวิจัยทางการแพทย์ทุกคนเริ่มเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พื้นฐานการศึกษาคนไทยเราดีขึ้น มีหลายการรักษาที่ดี และมีศักยภาพในงานวิจัย แต่อาจจะยังไม่เป็นมาตรฐานในการรักษาหลัก แต่มีงานวิจัยรองรับอาจจะยังไม่ใหญ่พอ ไม่นานพอ แต่หลายคนไม่รอ
เช่น บางคนเป็นภูมิแพ้มานาน ไม่อยากรอแล้ว มีอะไรช่วยได้อีกหรือไม่ คนสรรหา การป้องกันโรค มากขึ้น โดยการปรับสมดุลสุขภาพ เขาอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ไม่อยากป่วย อยากหายจากเบาหวาน ภูมิแพ้ SLE โรคเรื้อรังเหล่านี้ แพทย์แผนปัจจุบัน หรือ มาตรฐานปกติ อาจจะยังให้คำตอบได้ไม่มากพอ ยังไม่หาย หรืออาจจะต้องกินยาตลอดชีวิต ดังนั้น คนจึงเริ่มหันมาหาการรักษาทางเลือกซึ่งมีงานวิจัยรองรับมากขึ้น โดยเฉพาะ การรักษามะเร็งทางเลือก การรักษาโรคเรื้อรังทางเลือก เป็นกลุ่มที่คาดว่าน่าจะเติบโตมากขึ้น เป็นอันดับ 2
และสุดท้าย อันดับ 3 กลุ่มมีบุตรยาก เทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ปัญหามีบุตรยากซึ่ง W9 มีการดูแลมาโดยตลอด คนเริ่มมีการพูดปากต่อปากมากขึ้นว่าการปรับสุขภาพ มีโอกาสท้องได้ง่ายขึ้น และส่งผลให้การทำเทคโนโลยีเจริญพันธุ์สำเร็จมากขึ้นหลังจากที่เฟลมาตลอด หรือบางคนก็สามารถท้องได้เอง เพราะฉะนั้น กลุ่มนี้น่าจะใหญ่ขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของปัญหา เป็น 3 อันดับแรก ที่ W9 จะโฟกัสและคิดว่าเป็นเซกเมนต์ที่จะเติบโตมากที่สุดในปีนี้
ปรับช่องทางสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับแผนขยายฐานลูกค้าต่างชาติในปีนี้ คือ นำเอาฐานข้อมูลความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะเซกเมนต์เกี่ยวกับการรักษาทางเลือก มะเร็งทางเลือก หรือโรคเรื้อรัง ซึ่งมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากและเริ่มมีความต้องการของชาวต่างชาติที่เป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและเข้าถึงคนไข้กลุ่มได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ลูกค้าชาวจีนที่เดินทางเข้ามา นพ.พิจักษณ์ กล่าวว่า W9 ได้นำข้อมูลความต้องการของกลุ่มลูกค้ามาวิเคราะห์ และอาจทำแพกเกจขึ้นเพื่อให้เหมาะสม เช่น เรื่องเวลาในการอยู่ที่นี่ ปรับเรื่องการสื่อสาร ช่องทางการตลาด ปรับคอนเทนต์ให้สอดคล้อง พัฒนาการติดต่อสื่อสาร เรื่องภาษา เพราะสินค้าและบริการของเราเป็นความรู้ที่ต้องให้ข้อมูลให้ครบถ้วนและศึกษาค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้น ต้องให้ลูกค้าเรียนรู้เพราะเราเป็น Medical Service ที่ค่อนข้างลึกกว่า Wellness Spa ทั่วไป
“คาดการณ์ว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติในปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 10-20% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ลูกค้าในภาพรวม เติบโต 20-30% ทุกปี ในส่วนของรายได้ คาดว่าปีนี้จะโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 50% ต่อปีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” นพ.พิจักษณ์ กล่าว