ค้นหา
ปิดช่องค้นหานี้
เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

เสริมภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายสู้ไวรัสอัตโนมัติ แบบ 1:1

ทำความรู้จักวิธีการ เสริมภูมิคุ้มกัน แบบอัตโนมัติ

เมื่อไวรัสไม่หายไป วัคซีนยังต้องรอ มั่นใจมากแค่ไหนว่าร่างกายคุณมีภูมิต้านทานไวรัสที่เพียงพอสู้กับสถานการณ์ปัจจุบัน วันนี้เรามีวิธี เสริมภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายสู้ไวรัสแบบ 1:1

เสริมภูมิคุ้ม ให้กันร่างกาย แบบภูมิคุ้มกันพิเศษ คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิดของร่างกาย เปรียบได้เหมือนกองทัพทหารของร่างกายที่คอยปกป้อง และคอยกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค เชื้อไวรัส รวมถึงมะเร็งที่กำลังคุกคามร่างกายของเราซึ่งการเพิ่มภูมิคุ้มกันแบบพิเศษที่เรามีสามารถทำหน้าที่ได้แบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทาน (Antibody) และไม่ต้องจดจำลักษณะของสิ่งแปลกปลอมชนิดนั้นๆ ก่อนเหมือนเม็ดเลือดขาวทั่วไป ทำให้การเพิ่มภูมิคุ้มกันของเรามีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้สูงกว่าเม็ดเลือดขาวอื่นๆ ถึง 100 เท่า

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

ซึ่งปกติแล้วในร่างกายของคนเราจะมีภูมิคุ้มกันพิเศษอยู่ที่ประมาณ 2,000– 5,000 ล้านตัวเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาระบบภูมิคุ้มกันพิเศษนี้จะรู้ได้ทันทีและเหมือนกองทหารที่คอยปกป้อง พร้อมเคลื่อนเข้าไปเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นภายใน 24 ชั่วโมง ทันทีที่เคลื่อนเข้าไปถึงนั้นจะเกิด 2 สิ่งขึ้นด้วยกัน

1) ภูมิคุ้มกันพิเศษ จัดการกับสิ่งแปลกปลอม โดยการปกป้องสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ในร่างกาย

2) ภูมิคุ้มกันพิเศษ จะทำงานไปพร้อมกับการปล่อยสารโปรตีนในกระแสเลือดเรียกว่า Cytokine มาเป็นผู้ส่งสารมาช่วยภูมิคุ้มกันพิเศษทำลายสิ่งแปลกปลอม หรือช่วยป้องกันการโตของเนื้อร้าย

ภูมิคุ้มกันพิเศษต่ำลง ร่างกายแสดงผลยังไง?

ในภาวะปกติจะพบ ภูมิคุ้มกันพิเศษ อยู่ที่ประมาณ 10-15% ของเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte และมีโอกาสลดลงได้จากความอ่อนแอของร่างกายที่เพิ่มขึ้น โดยมักเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเพิ่มได้มากขึ้นด้วย บวกกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน เช่นกินโปรตีนน้อยพักผ่อนน้อย ดื่มหนัก สูบบุหรี่บ่อย เป็นต้น ผู้ที่มีการติดเชื้อบ่อย เช่น เริม งูสวัด โรคตับอักเสบ หรือเป็นหวัดบ่อยกว่าแต่ก่อน อาจเป็นสัญญาณของภูมิคุ้มกันตก หรือภูมิคุ้มกันพิเศษต่ำเพราะเริ่มมีจำนวนน้อยลง

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

“ภูมิต้านทานตก แต่ร่างกายยังได้รับสารพิษ (Toxic) ทุกวันจากสิ่งปนเปื้อนในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร ไลฟ์สไตล์ ฝุ่นควัน โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ที่พร้อมเข้ามาทำลายร่างกาย”

เมื่อไรก็ตามที่ระดับภูมิคุ้มกันพิเษษต่ำ จึงทำให้เชื้อไวรัสโจมตีสิ่งผิดปกติในร่างกายได้ง่าย ทั้งยังลุกลามต่อไปสร้างกองกำลังเป็นของตัวเองโดยอาศัยร่างกายเราเป็นฐานทัพใหญ่อีกด้วย ผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำจึงมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายเมื่อเทียบกับผู้ที่มีภูมิต้านทานปกติ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคตับอักเสบ การติดเชื้อไวรัส ทั้งยังเป็นภาวะที่เปิดโอกาสให้สิ่งผิดปกติดังกล่าวสามารถพัฒนาไปสู่ระยะของโรคร้าย อย่างมะเร็ง (Cancer) ร่วมด้วยได้

ภูมิคุ้มกันพิเศษ ส่งเกราะให้ภูมิคุ้มกัน ต้านไวรัสแบบ 1:1

ความก้าวหน้าทางแพทย์ปัจจุบัน ทำให้เราสามารถตรวจภูมิคุ้มกันพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เราทราบถึงจำนวนคงเหลือ และคุณภาพการทำงานของ ภูมิคุ้มกันพิเศษในปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ เป็นการสะท้อนถึงความแข็งแรงในอนาคตตั้งแต่ก่อนเกิดโรค ทั้งยังสามารถวางแผนป้องกันโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

หากร่างกายมีจำนวน ภูมิคุ้มกันพิเศษ น้อยลงจะทำอย่างไร?

เราสามารถเพิ่มจำนวน ภูมิคุ้มกันพิเศษ ในร่างกายเราได้ด้วยวิธีดังนี้
  1. การเพิ่มปริมาณ ภูมิคุ้มกันพิเศษ ด้วยตนเอง
  • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ครบ 5 หมู่ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะผักใบเขียว เนื้อสัตว์ และนมถั่วเหลือง
  • งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • นอนพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7 ชม./วัน อีกทั้งพยายามให้จิตใจผ่อนคลาย ไม่เครียด
  • รับประทานอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มการทำงานของ ภูมิคุ้มกันพิเศษ แต่ต้องเลือกที่มีการรับรองจากหน่วยงานที่ได้มาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ และมีผลการวิจัยหรือผลการทดลองแล้วว่าใช้ได้จริง
  • วิธีที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะเห็นผลไม่ชัดเจน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายของแต่ละบุคคล รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย
  1. ใช้เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนในห้องปฏิบัติการ

คือกระบวนการคัดแยก ภูมิคุ้มกันพิเศษ ออกจากเม็ดเลือดปกติ เพื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติมาตรฐานสากล โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 15-21 วัน จนได้ ภูมิคุ้มกันพิเศษ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก่อนจะนำมาฉีดกลับให้คนไข้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการปะทะกับเชื้อไวรัสแบบ 1 ต่อ 1 เพิ่มกำลังของหน่วยทหารให้พร้อมต่อสู้กับเชื้อไวรัสและสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา

การเพิ่มภูมิคุ้มกันพิเศษยังสามารถใช้ร่วมกับการรักษามะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งปอด เพราะ ภูมิคุ้มกันพิเศษ จะคอยทำหน้าที่ค้นหาความผิดปกติและกำจัดซากเชื้อโรคที่ตายแล้วออกจากร่างกายทุกวัน จึงมีส่วนช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคร่วมด้วยได้

วิธีการเพิ่ม ภูมิคุ้มกันพิเศษ โดยการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ

  • Pre-Screening : เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบระดับและประสิทธิภาพของ ภูมิคุ้มกันพิเศษ ก่อนการรักษา
  • Blood Drawing : การเจาะเลือดสำหรับใช้กระบวนการเพาะเลี้ยง ภูมิคุ้มกันพิเศษ
  • NK Culture : แยกและเพาะเลี้ยง ภูมิคุ้มกันพิเศษ เพื่อเพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพการทำงาน
  • NK Treatment : ให้ภูมิคุ้มกันพิเศษกลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อใช้งานตามปกติ

หลักการทำงานของ ภูมิคุ้มกันพิเศษ

การเพิ่ม ภูมิคุ้มกันพิเศษ คือ กระบวนการคัดแยก ภูมิคุ้มกันพิเศษ ออกจากเม็ดเลือดปกติ เพื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติมาตรฐานสากล โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 15-21 วัน จนได้ ภูมิคุ้มกันพิเศษ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคนไข้ ก่อนจะนำมาฉีดกลับให้คนไข้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการปะทะกับเชื้อไวรัสแบบ 1 ต่อ 1 เพิ่มกำลังของหน่วยทหารให้พร้อมต่อสู้กับเชื้อไวรัสและสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

การเพิ่มภูมิคุ้มกันพิเศษยังสามารถใช้เป็นการรักษาทางเลือก (Alternative) หรือการรักษาร่วม (Complementary) กับการรักษามะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งปอด เป็นต้น เพราะ NK Therapy จะคอยทำหน้าที่ค้นหาสิ่งที่มีหน้าตาผิดปกติและกำจัดซากเนื้อร้ายที่ตายแล้วออกจากร่างกายทุกวัน จึงมีส่วนช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำของโรคร่วมด้วยได้

คนกลุ่มไหนบ้างที่ควรตรวจระดับ ภูมิคุ้มกันพิเศษ

1. ผู้ที่มีความผิดปกติ หรือมีโรคประจำตัว

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

2. ผู้ที่มีสุขภาพดี

เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

โรคที่ใช้ ภูมิคุ้มกันพิเศษ ร่วมกับวิธีการรักษาในปัจจุบัน

กลุ่มโรคมะเร็ง

  • มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
  • มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)
  • มะเร็งเต้านมบางชนิด (HER2+ Breast Cancer)
  • มะเร็งเนื้อเยื่อระบบประสาท (Neuroblastoma)
  • มะเร็งปอดชนิด Adenocarcinoma
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer)

กลุ่มที่ไม่ใช่มะเร็ง

  • ติดเชื้อไวรัส (Viral Infection)
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease)
  • เบาหวานชนิดที่ 1 (Type I Diabetes)
เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

การใส่ใจดูแลสุขภาพ รักษาคุณภาพการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แพทย์มักเน้นย้ำกันอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยรักษาความแข็งแรงให้กองทัพทหารแต่ละหน่วยได้ดีที่สุด ยิ่งในสภาวะปัจจุบันที่ร่างกายเราถูกห้อมล้อมด้วยสารพิษ และเชื้อไวรัสเกือบจะตลอดเวลา ยังไม่รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตส่วนตัวที่มีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงได้ ยิ่งทำให้หน่วยทหาร(ภูมิคุ้มกัน)ต้องทำงานหนักขึ้นเป็นหลายสิบเท่า การรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Medicine) จึงเป็นแนวทางการดูแลสุขภาพที่ช่วยรักษาความแข็งแรงให้ร่างกาย ลดโอกาสเจ็บป่วย และหลีกเลี่ยงโรคชนิดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเกราะให้ภูมิคุ้มกัน ยืดเวลาความแข็งแรง!

Share : 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันโรคมะเร็งในคนไทยยังมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากทะเบียนสถิติมะเร็งประเทศไทย ปี 2566 โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติรายงานว่าผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่พุ่งสูงเฉลี่ยวันละ

รู้หรือไม่ การ WFH ที่ทุกคนทำกันอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนกำลังอาศัยอยู่กับตัวร้ายที่เรามองไม่เห็น

สาวๆ ทุกคนล้วนอยากมีผิวสวย ใส ไร้ริ้วรอย แต่มลภาวะเดี๋ยวนี้ทั้งแดด

error: Content is protected !!